28 มิถุนายน 2561

เทคนิคการเลือกซื้อรถยนต์มือสอง


รถใหม่ป้ายแดงอาจไม่ใช่คำตอบที่ใช่หรือถูกต้องนักสำหรับมนุษย์เงินเดือนทั่วไป...“รถมือสอง” ก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ยิ่งเป็นมือใหม่ด้วยแล้วเรามีทริคดีๆเหมาะกับผู้ซื้อหน้าใหม่ ที่ตกลงปลงใจควักเงินเก็บออมในกระเป๋ามาถอยรถมือสองออกไปขับนั้นมือใหม่หัดขับต้องดูไรบ้าง รถเคยถูกชนหนักมาหรือไม่ เคยมีน้ำเข้ามาหรือไม่ เปลี่ยนมือขับมาแล้วกี่คน ฯลฯ ทุกคำถามเรามีคำตอบที่เป็นไกด์แนะนำประกอบการตัดสินใจเลือกรถบ้านหรือรถเต้นท์แบบไหนดีกว่ากัน?

อย่างที่กล่าวรถมือ 2 นั้นมี 2 ประเภท คือรถบ้าน กับ รถเต้นท์ ซึ่งสองประเภทนี้ก็มีความแตกต่างกัน ดังนี้ 
ประเภทที่ 1 “รถบ้าน” คือ รถที่เจ้าของบ้านใช้เอง ประกาศขายเอง เป็นการซื้อขายกันตรงระหว่างเจ้าของรถกับผู้ซื้อ การซื้อรถแบบนี้มีข้อดีคือ ได้ซื้อกับเจ้าของรถโดยตรง ผู้ซื้อสามารถถามประวัติของรถได้ หาพบเจ้าของรถเป็นคนดี มีความจริงใจ ผู้ซื้อก็จะได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ส่วนข้อเสีย รถบ้านส่วนใหญ่จะขายตามสภาพ การซื้อ-ขายไม่มีการรับประกัน ผู้ซื้อต้องเป็นคนหาแหล่งเงินกู้ หรือ ดำเนินการทางด้านเอกสารต่างๆ เอง เป็นต้น
ประเภทที่ 2 “รถเต้นท์” คือ ไม่ใช่การซื้อ-ขาย โดยตรงกับเจ้าของ แต่เป็นซื้อ-ขาย ผ่านคนกลางหรือนายหน้า ซึ่งปัจจุบันการซื้อ-ขายในรูปแบบดังกล่าวมีทั้งประเภทรถเต้นท์ผ้าใบทั่วไป หรือ รถมือสองที่มีการลงทุนโชว์รูมที่ตกแต่งสวยงามทันสมัยวิธีการซื้อรถแบบนี้ มีข้อดี คือ สามารถไปดูรถได้สะดวก มีรถหลายรุ่น หลายปีให้เลือก มีบริการด้านเอกสาร การประสานงานกับสถาบันการเงิน แต่การเลือกซื้อรถเต้นท์ อาจมีค่าดำเนินการเพิ่มเติม ซึ่งนั่นอาจถือว่าเป็นข้อเสียของการซื้อรถเต้นท์
เมื่อทราบพอสังเขปแล้วว่ารถมือสองมี 2 ประเภทเราก็จะลงลึกว่าทริคในการดูรถมือสองอย่างไรให้ไร้ความเสียง...!!! ซึ่งขอโฟกัสไปที่การซื้อ-ขายผ่านคนกลางเป็นหลัก






1.เล่มแท้ เล่มเทียม ถูกสวมเล่มมารึป่าว

ผู้ใช้รถจำเป็นต้องมีการเสียภาษีทุกปี ซึ่งจากเล่มสมุดจดทะเบียนนี้ สามารถสังเกตได้ว่าเป็นเล่มแท้หรือไม่ ถูกสวมเล่มมาหรือเปล่า เพราะบางกรณีอาจพบได้ว่ารถสองคันแต่เป็นเล่มทะเบียนเดียวกัน ซึ่งในสมุดจดทะเบียน สามารถดูได้ดังต่อไปนี้ 
เล่มทะเบียนหน้า 16 จะบอกถึงรายการเสียภาษี ทุกครั้งที่มีการเสียภาษีทุกปีจะมีการพิมพ์รายการเสียภาษีทุกครั้ง เพราะฉะนั้นการพิมพ์แต่ละครั้งรูปแบบของตัวอักษรหรือช่องไฟจะมีระยะที่ไม่เท่ากัน หากรูปแบบของการพิมพ์ เหมือนกัน น้ำหมึกเท่ากันทุกบรรทัด ช่องไฟที่เท่ากันในแต่ละบรรทัด ของแต่ละปีที่ยื่นภาษี จึงเป็นที่ผิดสังเกตุ ให้พึงระวังถึงการปลอมแปลงสมุดจดทะเบียนได้ 
เล่มทะเบียนหน้า 18 แสดงการเปลี่ยนโอนกรรมสิทธิ์ รถยนต์จดประกอบหรือไม่ มีการดัดแปลง หรือถูกเปลี่ยนสภาพมาหรือไม่ หรือหากเป้นการนำเข้า ได้ดำเนินการนำเข้าอย่างถูกต้องหรือเปล่า สามารถเช็คได้จากหน้าที่ 18 ซึ่งกรมขนส่งทางบกจะเป็นผู้แก้ไข






2.ดูว่าใครเป็นเจ้าของมาก่อน จะเป็นดี

การโอนเข้าชื่อผู้ขายก่อนจะมีประโยชน์กับผู้ซื้อในเรื่องความมั่นใจโดยเฉพาะผู้ขายที่จดทะเบียนในรูปแบบบริษัท เพราะการถือกรรมสิทธิ์ของผู้ขายที่เป็นรูปแบบบริษัทก่อนที่จะมีการโอนให้กับผู้ซื้อนั้น แสดงถึงความชัดเจนในการถือครองกรรมสิทธิ์ของรถยนต์คันนั้นๆ จะช่วยลดปัญหาที่อาจตามมาได้ ไม่ว่าจะเรื่องปัญหาการโอน การตรวจสอบประวัติ หรือการขอเอกสารเพิ่มเติม ก็จะเบ็ดเสร็จที่บริษัทผู้ขาย ไม่ต้องติดตามกับบุคคลที่สามหรือเจ้าของเดิมนั่นเอง







3.เช็คอย่างไรว่านี่คือไมล์แท้!

ทุกวันนี้การกลับไมล์ให้น้อยลงสามารถทำได้ง่าย ผู้ซื้อควรคำนึงถึงเลขไมล์ที่สอดคล้องกับปีรถ และสภาพภายใน, ภายนอก ที่สอดคล้องกับเลขไมล์ของรถคันนั้นๆ การทดลองขับก็สามารถบ่งชี้ถึงการดูแลรักษาที่สอดคล้องกับเลขไมล์ได้เช่นกัน และปัจจุบันนี้ มีหลายยี่ห้อ หลายแบรนด์ ที่สามารถตรวจสอบเลขไมล์ครั้งสุดท้ายได้กับศูนย์บริการ เช่น โตโยต้า, ฮอนด้า เป็นต้น หรือหากเราทราบว่ารถที่ต้องการซื้อนั้น มาจากดีลเลอร์หรือเข้าศูนย์บริการที่ไหน เราก็สามารถตรวจสอบเลขไมล์กับดีลเลอร์รายนั้นๆ ได้เช่นกัน






4.ทดลองขับขี่ก่อนจะดีกว่า 

นอกจากสภาพที่สายตามองเห็นแล้ว ยังมีสิ่งที่ต้องคำนึงอยู่อีกมากมาย เพื่อสร้างความมั่นใจในการซื้อรถ และตรวจสอบความพร้อมของรถ โดยเฉพาะเครื่องยนต์หรือช่วงล่างนั่นเอง การทดลองขับเป็นสิ่งที่จำเป็น และสำคัญสำหรับผู้ซื้อเป็นอย่างยิ่ง เราสามารถจับอาการความผิดปกติของรถแม้จะไม่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ก็ตาม เพราะฉะนั้นควรเลือกซื้อรถยนต์กับผู้ขายที่ให้ทดลองขับจะดีที่สุด ซึ่งอาจมีบางร้านไม่สะดวกให้ทดลองขับ แต่อย่างไร การทดลองขับจะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อได้มากยิ่งขึ้นจริงๆ







5.ผู้ขายต้องน่าเชื่อถือ

ผู้ขายเป็นบริษัทที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย มีที่ทำการที่เป็นมาตรฐาน หรือ ตัวแทนที่ถูกแต่งตั้งจากบริษัทรถยนต์จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อได้ เพราะผู้จำหน่ายเหล่านี้จะมีการตวจสอบ และออดิตถึงสภาพความพร้อมของตัวรถที่จะขายให้กับลูกค้า จุดนี้เองจึงสามารถสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อว่าท่านได้ซื้อรถที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีการรับประกันและความรับผิดชอบหลังการขาย






6.สภาพรถสวย ใครว่าจะไร้ความเสี่ยง

สภาพรถที่สวยภายนอก ไม่ได้บอกว่ารถคันนั้นจะดีเสมอไป อาจมีการผ่านอุบัติเหตุหนักๆ มาก็เป็นได้ หากต้องการสังเกตว่ารถเกิดอุบัติเหตร้ายแรงมาหรือไม่ ให้ดูที่สีของตัวถังรถ ว่ามีสีเพี้ยนหรือไม่สม่ำเสมอหรือเปล่า สีไฟหน้า สีไฟท้าย เป็นสีเดียวกัน ถ้าสีใหม่ต้องใหม่เหมือนกันทุกดวง ไม่ใช่บางดวงเก่า บางดวงใหม่ นอกจากนั้นสภาพรถควรจะเป็นไปตามอายุของรถ เช่น อายุรถ 10 ปี แต่ไฟหน้าใหม่ ไม่เหมือนผ่านการใช้งานมา 10 ปี ก็เป็นที่น่าผิดสังเกต ซึ่งบางคนมองว่าเป็นเรื่องดี แต่จริงๆ อาจจะซ่อม หรือเคลมมา รวมถึงกระจกรถและแท็กของสายเข็มขัด นิรภัยจะระบุว่าปีที่ผลิตรถมา อันนี้ก็ถือเป็นจุดสังเกตง่ายๆ ที่ใครๆ ก็สามารถตรวจสอบได้ 
กล่าวง่ายๆ คือ การตรวจสอบปีของรถ เลขปีทุกอย่าง ทุกจุด จะต้องตรงกัน ไม่ว่าจะเป็น เลขตัวถังรถ เลขเครื่องยนต์ จะต้องตรงกับในเล่มทะเบียน หรือแม้แต่ยางรถยนต์ ก็สังเกตจากตัวเลข 4 หลัก ที่ระบุปีของยางซึ่งควรจะต้องใหม่กว่าปีของรถนั่นเอง






7.ไฟแนนซ์จะช่วยตรวจสอบรถให้ด้วยนะ

ยี่ห้อรถยนต์มีผลต่อยอดในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน รถที่มีความนิยมสูงก็จะได้สินเชื่อที่สูงตามไปด้วย ผู้จำหน่ายก็มีผลต่อยอดการขอสินเชื่อด้วยเช่นกัน ผู้จำหน่ายที่เป็นตัวแทนของรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ ก็จะได้สินเชื่อที่มากกว่าปกติเพราะในแง่ของการขอสินเชื่อ สถาบันการเงินก็จะตรวจสอบถึงแหล่งที่มาของรถยนต์ รถยนต์ที่สามารถตรวจสอบได้ก็จะสร้างความมั่นใจให้กับสถาบันการเงินนั้นๆ ในการจัดไฟแนนซ์ให้กับลูกค้า ยิ่งผู้ขายมีความน่าเชื่อถือมาก ก็จะได้วงเงินของสินเชื่อเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย เมื่อลูกค้าซื้อรถผ่านไฟแนนซ์ ไฟแนนซ์เองก็จะเป็นผู้ตรวจสอบที่มาของรถให้กับลูกค้าอีกทางหนึ่ง ซึ่งน่าเชื่อถือ และสร้างความมั่นใจในรถคันนั้นๆ ได้ เช่นกัน
.นั่นเป็น 7 ข้อหลักๆ ที่นำมาฝากสำหรับผู้ที่กำลังมองหารถมือสอง อย่าลืมนะคะว่า เรื่องรถกับเรื่องเอกสาร เป็นเรื่องคู่กัน มือใหม่หัดซื้อรถมือสอง ควรศึกษาหาข้อมูลให้ครบรอบด้าน หากไม่แน่ใจว่าจะถูกยอมแมวขายหรือไม่ แนะนำให้ไปโชว์รูมที่ได้มาตรฐานมั่นคงถาวร


ที่มา : บริษัท กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส จำกัด (มหาชน) หรือ KCAR

สนใจสั่งซื้อรถมือสองได้ที่
website : www.expatautocm.com
Tel. 053241722
Line@ : @expatautocm (มี@ด้วยนะ)


Hydrogen Fuel Cell Vehicles: The Future or a Fad?



As electric cars become more popular, their limitations are taken on by hydrogen fuel cell vehicles.

Hydrogen Fuel Cell Vehicles:  The Future or a Fad?  We explain.  As your roller shades begin to retract to let in the morning sun, the sounds of exotic rainforest birds fill the air. With one eye open, you hit snooze on your feathered friends before checking your sleep app to track last night’s REM movements. The smell of freshly brewed coffee wafts in from your automatic espresso maker. A few moments later, you’re out the door in your whisper-quiet hydrogen fuel cell car. Just a few years ago, this could have passed for the opening scene for a futuristic sci-fi film.
Thanks to modern technology that seems to advance exponentially, innovations like the hydrogen fuel cell vehicles are today’s reality. And why not? A vehicle that uses one of the most abundant elements on earth as clean fuel, emits filtered water clean enough to drink, and can travel up to 300 miles between fill-ups, sounds like the perfect mash-up of ingenuity and desire.
So, what is a Hydrogen Fuel Cell Vehicle?
Simply put, a hydrogen fuel cell vehicle, or FCV for short, is a type of vehicle that uses a hydrogen fuel cell to generate electricity to power its electric motor. Therefore, while an FCV is considered an electric vehicle, instead of plugging it into an outlet to charge, pressurized hydrogen is pumped into the car at a hydrogen refueling station, much in the same way a gas vehicle is refueled. With hydrogen being the only fuel source, water and heat are the only two byproducts produced; meaning the only emission out of the tailpipe is water clean enough to drink. According to NASA, astronauts have been powering their space shuttles using hydrogen since the 1960s and drinking the water produced by the fuel cell.
Current Hydrogen Fuel Cell Vehicles
Despite the fact that Hydrogen cars are still very much in their infancy, there are a few options available for consumers today.
  • If you prefer to buy rather than lease your cars, the Toyota Mirai is your only option. Mirai is the Japanese word for future, a fitting name for their first FCV available for purchase.
    • Estimated range: 312 miles
    • Complimentary Fuel: $15,000 value
  • Honda also offers a fuel cell vehicle, the Honda Clarity Fuel Cell. With an interior compromised of roughly 80% eco-conscious materials, the Clarity stands out for eco-friendly shoppers.
    • Estimated range: 366 miles
    • Complimentary Fuel: $15,000 value
  • Combining the body of an SUV with a hydrogen powertrain, the Hyundai Tucson Fuel Cell is the only choice for those who want the capabilities of an SUV while minimizing their carbon footprint.
    • Estimated range: 265 miles
  • Hyundai has also recently announced its next-generation fuel cell vehicle, the Hyundai Nexo. Expected to replace the Tucson by the end of this year, the Nexo represents the next evolution in FCVs, significantly improving range, power, and efficiency over the Tucson
    • Estimated range: 370 miles
Other manufacturers such as Mercedes-BenzBMW, and GM also have plans to introduce FCV’s potentially as soon as the end of 2019.
Things to Consider
While hydrogen vehicles seem like great alternatives to gas or electric vehicles, there are a few important caveats to consider before heading to the dealership.
  • Hydrogen vehicles are currently only available in California. Given the abundance of charging stations in nearly every state, electric cars clearly have the edge on convenience.
  • Similar to battery-powered electric vehicles, FCVs release zero emissions but the actual source of hydrogen production is natural gas, a fossil fuel. Elon Musk has been a long-time critic of FCVs, yet those on the other side see an opportunity in the limits of battery-powered EVs.
  • FCVs may be more fuel efficient than gas vehicles, but they pale in comparison to electric vehicles. The most fuel-efficient FVC has an MPGe of 68 combined, whereas the most fuel-efficient battery-powered EV has an MPGe of over 130 combined.
The Road to the Future?
As with any technology in its infancy, FCVs still face substantial hurdles before gaining widespread adoption. Investment in infrastructure, technology, even changes to regulations will most likely have to happen before hydrogen vehicles become a viable alternative to gasoline and electric vehicles. However, if you live in coastal California and are unwilling to put up with long charging times and the limited range of electric vehicles, now’s your chance to be an early adopter.
cr.truecar

Second hand car in Chiang Mai
website : www.expatautocm.com
Tel. 053241722
Line@ : @expatautocm (มี@ด้วยนะ)

27 มิถุนายน 2561

4 สัญญาณเตือนอันตรายก่อนเครื่องยนต์พัง


หลายๆ คนอาจไม่เคยฉุกคิด หรือเอะใจเลยว่า เครื่องยนต์ใกล้พังมีอาการแบบไหน เนื่องจากไม่เคยสังเกต ไม่เคยใส่ใจต่ออาการที่มันคอยเตือนถึงความผิดปกติ จนกระทั่งมันกลับบ้านเก่าก่อนเวลาอันควร
     การขับขี่รถยนต์ นอกจากขับเป็น และขับถูกกฎจราจรแล้ว การรู้เรื่องรถของเราก็ถือเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะเรื่องของเครื่องยนต์ที่ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในการขับเคลื่อนรถยนต์ของคุณให้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าจนไปถึงจุดหมาย
     สำหรับสัญญาณเตือนก่อนเครื่องยนต์พัง มีอยู่หลักๆ ดังนี้
     1. ไฟสัญญาณเตือนที่หน้าปัดรถยนต์ ถือว่าเห็นชัด และง่ายมาก เพราะมันอยู่ตรงหน้าของคุณ ซึ่งไฟเตือนที่ว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์อะไรขึ้นมาก็ตาม มันบอกได้อย่างเดียวว่า รถของคุณมีปัญหาแล้ว
     2. เสียงแปลกๆ ดังผิดปกติ ไม่ว่าจะเป็นเสียงเสียดสี หรือเสียงกระทบกันของโลหะ ส่วนไหนก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นในระหว่างขับขี่ ถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย ให้รีบนำรถเข้าตรวจสอบโดยด่วน
     3. กลิ่นเหม็นไหม้ หากขับรถอยู่แล้วได้กลิ่นเหม็นไหม้แปลกๆ ที่ไม่ว่ามันจะมาจากส่วนไหน แสดงว่ารถของคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว ดังนั้นคุณควรจะรีบนำรถไปตรวจเช็กกับช่างให้เร็วที่สุด

     4. ท่อไอเสียมีควันผิดปกติ จริงๆ แล้วควันจากท่อไอเสียที่ดีจะต้องสะอาด ไร้กลิ่น และไร้สี แต่ถ้าเมื่อใดที่รถของคุณเริ่มมีปัญหา สีของควันที่ออกมาจะบ่งบอกถึงความผิดปกติของเครื่องยนต์ เช่น ควันสีขาวไม่มีกลิ่น, ควันสีฟ้าอ่อนมีกลิ่น ฯลฯ
     แม้การหมั่นสังเกตจะเป็นเรื่องดี แต่ก็อย่าให้มากเกินไป เพราะมันอาจทำให้คุณกลัวรถจะเป็นโน่นเป็นนี่ตลอดเวลา การขับรถไปด้วยใจหวาดหวั่นไม่ใช่เรื่องดี เผลอๆ อาจทำให้คุณกลายเป็นคนวิตกจริตไปได้ ทางที่ดีเอาแค่พอประมาณ ดูแลรักษารถยนต์ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ และคอยตรวจเช็กเมื่อถึงระยะที่กำหนด
cr. Silkspan
สนใจสั่งซื้อรถมือสองได้ที่
website : www.expatautocm.com
Tel. 053241722
Line@ : @expatautocm (มี@ด้วยนะ)

26 มิถุนายน 2561

Comparing Utility Vehicles and Sedans


Here is a feature-by-feature comparison that you can use to decide which vehicle is right for you.

Comparing Utility Vehicles and Sedans: Utility vehicles have rapidly grown in popularity and are here to stay. But does this mean sedans should be crossed off your potential new car list?  We’ll compare utility vehicles and sedans.
It can be easy to overlook the once-popular sedan segment when utility vehicles are crowding the spotlight. However, sedans still have some benefits over utility vehicles that are hard to ignore. Here are a few things to consider:
Gas Efficiency – As engine technology progresses, fuel efficiency for all vehicle types also improves. Despite this, utility vehicles are often heavier, resulting in lower MPG figures compared to sedans. For example, the new 2018 Toyota Camry 2.5L 4-cylinder engine is rated to achieve an astonishing 29/41 MPG (city/highway)1, while the 2018 Toyota Rav4 2.5L 4-cylinder is rated at 23/30 (City/Highway)2.
Interior dimensions – Utility vehicles are typically taller and wider than sedans, so you might expect a more spacious interior. While measurements for cargo space are largely higher in utility vehicles, the same may not apply for driver and passenger measurements. Over the years, the size of an average midsize sedan has grown to become comparable to and sometimes even exceed SUVs. See, for example, the interior measurements of the 2018 Honda Accord in comparison to those of the 2018 Honda CR-V:
  • 2018 Honda Accord3:
    • Driver Head Room: 37.5 inches
    • Driver Leg Room: 42.3 inches
    • Driver Shoulder Room: 58.3 inches
    • Cargo Volume: 16.7 cu. ft.
    • Passenger Volume: 102.7 cu. ft.
  • 2018 Honda CR-V4:
    • Driver Head Room: 38 inches
    • Driver Leg Room: 41.3 inches
    • Driver Shoulder Room: 57.9 inches
    • Cargo Volume: 39.2 cu. ft.
    • Passenger Volume: 102.9 cu. ft.
Visibility – Utility vehicles typically provide a higher seating position, allowing for better forward visibility. Despite this, due to their rear window placement and larger side pillars, utility vehicles are also likely to have poor rear and side visibility. Depending on the model, sedans can be easier to park and maneuver due to their more manageable dimensions and visibility.
Comfort – SUVs usually have a softer and pliable feel to their suspensions due to the fact that they were designed to carry more weight and absorb impacts on rougher terrains. But if you spend most of your time on highways and surface streets, sedans are likely to provide a more comfortable ride at higher speeds while also providing better handling.
Styling – If you like sleek and sporty cars, you’ll likely lean towards sedan styling over bulky SUVs. Okay, this one is more subjective, but let us know which styling you prefer!

cr.truecar

Second hand car in Chiang Mai
website : www.expatautocm.com
Tel. 053241722
Line@ : @expatautocm (มี@ด้วยนะ)

วิธีคำนวณค่างวดรถยนต์มือสองแบบง่ายสุดๆ


แม้ว่าปัจจุบันจะมีโปรโมชั่นรถใหม่ป้ายแดงมาล่อตาล่อใจอยู่เสมอ แต่รถมือสองก็ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า โดยเฉพาะกับผู้ที่อยากได้รถคันใหญ่ ในงบประมาณรถเล็ก
แต่ในความเป็นจริงนั้น แม้ว่าจะมียอดจัดไฟแนนซ์เท่ากัน แต่ค่างวดต่อเดือนของรถมือสองจะมีราคาสูงกว่ารถป้ายแดงเสมอ เพราะดอกเบี้ยรถมือสองที่ถูกกำหนดไว้สูงกว่า รวมถึง VAT ที่ผู้ซื้อจะต้องรับผิดชอบด้วย ดังนั้น จึงขอแนะนำวิธีคำนวณค่างวดรถมือสองแบบง่ายๆ มาฝากกัน
สูตรคำนวณรถมือสองง่ายๆ ดังนี้
1. หาดอกเบี้ยต่อปี = ยอดจัด x ดอกเบี้ย %
2. ได้ดอกเบี้ยต่อปี ก็หาดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา (ขึ้นกับจำนวนปีที่ผ่อน) = ดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนปีที่ผ่อน
3. ได้ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา ก็หายอดสินเชื่อรวมดอกเบี้ย = ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา + ยอดจัดไฟแนนซ์
4. ได้ยอดสินเชื่อรวมดอกเบี้ย ก็หา VAT = ยอดสินเชื่อรวมดอกเบี้ย x 7%
5. ได้ VAT ก็หายอดรวมสินเชื่อหลัง VAT = ยอดสินเชื่อรวมดอกเบี้ย + VAT
6. ได้ยอดรวมสินเชื่อหลัง VAT ก็หายอดผ่อนต่อเดือน = ยอดรวมสินเชื่อหลัง VAT / จำนวนเดือนที่ผ่อน
เพียงเท่านี้ก็จะได้ค่างวดที่ต้องจ่ายต่อเดือนแล้ว
**ดอกเบี้ยที่แท้จริงขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันการเงิน**
ยกตัวอย่างเช่น
สมมติรถยนต์ Honda Civic รุ่นปี 2010 ราคาขายอยู่ที่ 380,000 บาท ผ่อน 60 งวด ดอกเบี้ยอยู่ที่ 6.50% ดาวน์ไป 30,000 บาท คงเหลือยอดจัดอยู่ที่ 350,000 บาท คำนวณได้ดังนี้:-
1. 350,000 x 6.5% = 22,750 --> ดอกเบี้ยต่อปีเท่ากับ 22,750 บาท
2. 22,750 x 5 = 113,750 --> ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญาเท่ากับ 113,750 บาท
3. 113,750 + 350,000 = 463,750 --> ยอดสินเชื่อรวมดอกเบี้ย
4. 463,750 x 7% = 32,462.50 --> VAT ตลอดอายุสัญญา
5. 463,750 + 32,462.50 = 496,212.50 --> ยอดสินเชื่อหลัง VAT
6. 496,212.50 / 60 = 8270.2 ปัดขึ้นเป็น 8,271 บาท --> ยอดผ่อนต่อเดือน

จะเห็นได้ว่า แม้รถยนต์มือสองจะมียอดจัดไฟแนนซ์เพียง 350,000 บาท แต่มีค่างวดสูงถึง 8,271 บาท เป็นระยะเวลากว่า 60 งวด ซึ่งใกล้เคียงกับรถใหม่ระดับ B-Segment แต่ถ้ามองมุมกลับว่าได้รถขนาดใหญ่กว่า สมรรถนะดีกว่า ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
cr.Sanook! Auto
สนใจสั่งซื้อรถมือสองได้ที่
website : www.expatautocm.com
Tel. 053241722
Line@ : @expatautocm (มี@ด้วยนะ)

ข้อมูลแนะนำ