11 กันยายน 2561

มาดูวิธีคำนวณหาจำนวนที่ต้องผ่อนค่าเช่าซื้อรถยนต์กันเถอะ


รถยนต์ที่วิ่งอยู่บนถนนในประเทศไทย เชื่อได้ว่าเกิน 80% ล้วนเคยผ่านการผ่อนชำระกับสถาบันการเงินทั้งสิ้น (เป็นความคิดส่วนตัว) เพราะด้วยค่าตัวของรถยนต์นั้นราคาไม่ว่าจะมือ 1 ป้ายแดงหรือรถยนต์มือสอง ก็ราคาหลักแสนอัพขึ้นไปเกือบทั้งนั้น ดังนั้นคงมีไม่กี่คนที่จะสามารถกำเงินไปซื้อโดยไม่ต้องกู้เงินไฟแนนซ์ หลายคนยังคำนวณไม่ถูกว่าถ้าซื้อรถยนต์ราคาเท่านี้ แล้วจะต้องผ่อนชำระเดือนละเท่าไหร่ วันนี้เลยมาอธิบายวิธีการคำนวณว่า ค่างวดที่เราต้องจ่ายนั้นมันมีที่มาอย่างไรบ้าง
ต้องอธิบายก่อนว่า รถยนต์ 1 คันที่เราต้องจ่ายเงินผ่อนนั้น จะมีประกอบไปด้วย 3 ส่วนคือ
1.) มูลค่ารถยนต์ที่จะทำการกู้ผ่านสถาบันการเงิน (หักเงินดาวน์แล้ว)
2.) ดอกเบี้ย
3.) ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%

ซึ่งทั้ง 3 ส่วนนี้จะถูกรวมไปทั้งหมด แล้วผู้ที่รับผิดชอบจ่ายก็คือผู้ซื้อนั่นเอง วิธีการก็คือ
1.) นำราคาจำหน่ายของโชว์รูม หักด้วยเงินดาวน์ จะเหลือเป็นยอดจัดซื้อ
2.) นำยอดจัดซื้อ มาคูณด้วยดอกเบี้ยต่อปี เป็นจำนวนดอกเบี้ยรายปี
3.) นำจำนวนดอกเบี้ยรายปี คูณด้วยจำนวนปีที่ทำการผ่อนชำระ รวมเป็นดอกเบี้ยทั้งหมด
4.) นำดอกเบี้ยทั้งหมด บวกด้วยยอดจัดซื้อ รวมเป็นยอดหนี้ทั้งหมด
5.) นำยอดหนี้ทั้งหมด มาหารด้วยจำนวนเดือนที่ต้องผ่อนชำระ เป็นยอดชำระรายเดือน
6.) กรณีที่เป็นรถยนต์มือ 2 ให้บวกภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
car payment
ตัวอย่างการคำนวณค่างวดรถป้ายแดง
นายเต้ยต้องการซื้อรถยนต์ Toyota Hilux Revo Prerunner Double Cab 2X4 2.4 TRD Sportivo ราคารวมอุปกรณ์ตกแต่ง 935,000 บาท (รวม VAT. 7% แล้ว) โดยจะดาวน์ 20% ผ่านสถาบันการเงินที่คิดดอกเบี้ย 5% ต่อปี ผ่อนชำระ 60 งวด (5 ปี) ก็จะเข้าสูตรคำนวณดังนี้
1.) 935,000 (ราคารถ) - 187,000 (เงินดาวน์) = 748,000 (ยอดจัดซื้อ)
2.) 748,000 (ยอดจัดซื้อ) x 5% (ดอกเบี้ยต่อปี) = 37,400 (จำนวนดอกเบี้ยรายปี)
3.) 37,400 (จำนวนดอกเบี้ยรายปี) x 5 (จำนวนปีที่ทำการผ่อนชำระ) = 187,000 (ดอกเบี้ยทั้งหมด)
4.) 187,000 (ดอกเบี้ยทั้งหมด) + 748,000 (ยอดจัดซื้อ) = 935,000 (ยอดหนี้ทั้งหมด)
5.) 935,000 (ยอดหนี้ทั้งหมด) ÷ 60 (จำนวนเดือนที่ต้องผ่อนชำระ) = 15,583.33 ปัดขึ้นเป็น 15,584 (ยอดชำระรายเดือน)
Car Payment
ส่วนการเช่าซื้อรถยนต์แบบรถมือสอง อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อย เพราะราคาจำหน่ายส่วนใหญ่แล้วจะยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ซึ่งการคำนวณก็จะต้องเพิ่มเข้าไปตรงจุดใดจุดหนึ่ง อาจจะบวกในราคารถ หรือบวกในค่างวดรถก็ได้ ตัวอย่างดังนี้
น้องท็อปต้องการซื้อรถยนต์ Suzuki Swift ราคาขายจากเต็นท์ 300,000 บาท โดยจะดาวน์ 20% ผ่านสถาบันการเงินที่คิดดอกเบี้ย 8% ต่อปี ผ่อนชำระ 48 งวด (4 ปี) ก็จะเข้าสูตรคำนวณดังนี้
1.) 300,000 (ราคารถ) - 60,000 (เงินดาวน์) = 240,000 (ยอดจัดซื้อ)
2.) 240,000 (ยอดจัดซื้อ) x 8% (ดอกเบี้ยต่อปี) = 19,200 (จำนวนดอกเบี้ยรายปี)
3.) 19,200 (จำนวนดอกเบี้ยรายปี) x 4 (จำนวนปีที่ทำการผ่อนชำระ) = 76,800 (ดอกเบี้ยทั้งหมด)
4.) 76,800 (ดอกเบี้ยทั้งหมด) + 240,000 (ยอดจัดซื้อ) = 316,800 (ยอดหนี้ทั้งหมด)
5.) 316,800 (ยอดหนี้ทั้งหมด) ÷ 48 (จำนวนเดือนที่ต้องผ่อนชำระ) = 6,600 (ยอดชำระรายเดือน)
6.) 6,600 (ยอดชำระรายเดือน) + 7% (ภาษีมูลค่าเพิ่ม) = 7,062  (ยอดชำระรายเดือนสุทธิ)
หลายคนเคยถามว่า แล้วระหว่างเราผ่อนชำระ บังเอิญถูกหวยก้อนใหญ่มา เราจะปิดยอดก่อนเลยดีไหม ต้องบอกก่อนว่า สัญญาของการเช่าซื้อรถยนต์นั้นจะแตกต่างกับสัญญาจำนองบ้านที่มีการลดต้นลดดอก แต่ของรถยนต์นั้น จะมีการคำนวณโดยใส่ดอกเบี้ยเข้าไปในแต่ละงวดอยู่แล้ว การจะขอจ่ายเงินก้อนเพื่อปิดบัญชี ก็ไม่ได้ช่วยให้เราจ่ายเงินลดลงซักเท่าไหร่ อย่างมากทางสถาบันการเงินก็อาจจะลดให้ 2,000-3,000 บาท ดังนั้นถ้าถามความเห็นส่วนตัว ก็ควรจะผ่อนชำระรายงวดต่อไปตามปกติ แล้วเอาเงินก้อนนั้นไปลงทุนด้านอื่นๆ ก็ดูจะคุ้มค่ากว่า
เรียบเรียงโดย Earthpark02
สนใจสั่งซื้อรถมือสองได้ที่
website : www.expatautocm.com
Tel. 053241722
Line@ : @expatautocm (มี@ด้วยนะ)

09 กันยายน 2561

30 วิธีดูแลรถให้มีอายุการใช้งานยืนยาวนานขึ้น

30 วิธีดูแลรถให้มีอายุการใช้งานยืนยาวนานขึ้น

รถดี ๆ ที่เราใช้เวลาเก็บเงินตั้งนานกว่าจะซื้อมาเนี่ย บางคนรักยิ่งกว่าแฟนซะอีกนะ ดังนั้นถ้าเกิดใช้ได้ไม่นานก็พัง คงน่าเสียดายแย่เลยใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นก่อนที่รถของคุณจะเสียทั้ง ๆ ที่ยังใช้ได้ไม่เท่าไหร่ ก็ลองมาดูแลรถด้วยวิธีเหล่านี้กันดูเถอะ


      1. ในช่วงรันอิน ขณะที่ขับรถไปได้ 1,600 กิโลเมตรแรก จำกัดความเร็วให้อยู่ต่ำกว่า 88 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเอาไว้ หรือความเร็วตามที่แนะนำสำหรับรถแต่ละรุ่น
      2. หลีกเลี่ยงสิ่งของกระทบถูกรถ เพราะแม้แต่ลูกบอลพลาสติกเบา ๆ กระทบก็ทำให้เกิดรอยขนแมวได้
      3. อย่าเร่งเครื่องเวลาสตาร์ททันที โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศข้างนอกหนาวเย็น ทางที่ดีควรเร่งความเร็วหลังผ่านไปประมาณสัก 10 - 20 นาที
      4. พยายามไม่ขับรถเร็วจนเกินไป โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศร้อนหรือเย็นจัด
      5. หลีกเลี่ยงการหยุดรถกะทันหันที่จะทำให้ล้อสึกอย่างรวดเร็ว
      6. เวลาหมุนพวงมาลัย ไม่ควรหักไปทิศทางใดจนสุด
      7. หากรถติดอยู่ในพวกหลุมโคลนขนาดใหญ่จนเอาขึ้นมาลำบาก ควรเรียกช่างมาช่วยยกแทนที่จะพยายามเร่งเครื่องให้หลุดออกมา
       8. การพ่วงของอื่น ๆ ไว้กับกุญแจรถด้วย จะทำให้กุญแจรถหนักขึ้น บวกกับเวลาที่ขับ แรงสั่นสะเทือนก็จะยิ่งทำให้ช่องที่เสียบกุญแจรถรับภาระหนักขึ้นอีก จนชิ้นส่วนภายในสึกหรอได้ เพราะฉะนั้นเลือกเอาเครื่องประดับเล็ก ๆ ชิ้นเบา ๆ มาใช้ก็พอแล้ว
       9. หมั่นสังเกตหรือถ้าจะให้ดีก็ควรจดเอาไว้ด้วยว่าวัน ๆ น้ำมันของคุณหมดไปเท่าไหร่ และวันนี้ขับไปเป็นระยะทางเท่าไหร่ ถ้าน้ำมันหดหายจนผิดสังเกต จะได้ตามช่างมาดูสิ่งผิดปกติได้ทัน
       10. อย่าทิ้งรถไว้เฉย ๆ นานเกินไป เพราะการหล่อลื่นภายในจะแห้งทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องยนต์สึกกร่อนง่ายกว่า และแบตเตอรี่รถก็เสื่อมง่ายเพราะขาดการชาร์จแต่ประจุคลายออกจนหมดเกลี้ยง
       11. หากจอดรถไว้นาน ใช้ขาตั้งยกรถเป็นตัวค้ำเวลาจอด เพราะยางรถยนต์จะถูกกดในจุดเดียวทำให้ยางเสียทรง ต้องเปลี่ยนใหม่
       12. จอดรถในที่ร่ม เพื่อไม่ให้รถร้อน หรือจะเลือกใช้รถเป็นสีที่คายความร้อนเช่นสีสว่างเป็นมันเงาดูก็ได้
       13. ทำความสะอาดแผงหน้าปัดด้วยผ้าชุบน้ำพอหมาด และหมั่นดูดฝุ่นในรถเสมอ
       14. เคลือบเบาะหนังเพื่อให้รถดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ
       15. แก้ปัญหาไฟท้ายมีร่องรอยด้วยการเอาเทปซึ่งขายในร้านอุปกรณ์สำหรับรถมาติด ก่อนที่น้ำจากฝนจะรั่วซึมเข้ามาติดอยู่ภายใน
       16. ต่อให้เป็นรถที่ทนทานขนาดไหนก็ไม่ควรบรรทุกของหนักเกินไป ไม่ว่าจะเป็นที่ท้ายรถหรือมัดไว้บนหลังคาก็ตาม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วควรจุไม่เกิน 90 กิโลกรัม
       17. มองหาผ้ามาคลุมรถทุกครั้งตอนที่เก็บในโรงรถเพื่อรักษาสีให้ดูใหม่นาน ๆ
       18. สำหรับคนที่จำเป็นต้องใช้รถบรรทุกของไปด้วย ควรใช้ผ้าหนา ๆ ปูสักชั้นก่อนใส่ของลงไปด้วย จะได้ไม่ขูดขีดโดนรถจนเป็นรอย
       19. เคลือบแว็กซ์อีกชั้นเพื่อถนอมสีรถให้ติดทนนานยิ่งขึ้น รวมทั้งกันรอยขูดขีดด้วย
       20. ตอนที่เติมลมยางรถ ลองสังเกตดูสิว่ามีความชื้นออกมาจากตัวปั๊มลมด้วยรึเปล่า ถ้ามีก็หยุดซะ เพราะหากมีความชื้นเข้าไปฝังตัวด้านในจะทำให้ล้อเสียหายได้
      21. ระบบเบรกป้องกันล้อล็อกนั้นค่อนข้างไม่ถูกกับความชื้นเป็นพิเศษ มันจึงควรถูกเช็ดทำความสะอาดให้แห้ง และควนตรวจเช็คอย่างน้อยทุก ๆ 3 ปี
      22. เปลี่ยนน้ำมันเครื่องบ่อย ๆ คราบตกตะกอนจะได้ไม่ฝังอยู่ภายใน
      23. คุณต้องทำความสะอาดฝาถังน้ำมันบางเช่นกัน เพราะมีความเสี่ยงที่สิ่งสกปรกจะหลุดเข้าถังน้ำมันเวลาเติมเชื้องเพลิง
      24. ตรวจเช็คแบตเตอรี่เป็นประจำ ถ้ามีรอยแตกร้าวควรเปลี่ยนทันที และควรทำความสะอาดด้วย
      25. เปลี่ยนหัวเทียนเมื่อคุณขับรถไปได้ 48,000 - 64,000 กิโลเมตร
      26. ใช้น้ำสะอาดเติมลงหม้อน้ำรถยนต์เท่านั้น เพื่อไม่ให้สิ่งสกปรกเข้าไปสะสม โดยผสมน้ำยาหล่อเย็นและน้ำเปล่าในสัดส่วนครึ่งต่อครึ่ง

      27. ปูผ้าขนหนูไว้บนเบาะก่อนเอาที่นั่งเด็กมาวางทับ เพื่อกันรอยขีดข่วน
      28. กระปุกเก็บน้ำมันพวงมาลัยพาวเวอร์ต้องมีน้ำมันอยู่ในระดับพอดี และฝาปิดสนิทก่อนสตาร์ทเครื่องด้วย ไม่อย่างนั้นหากเจอความร้อนหลังเครื่องทำงานเข้าไป อาจยิ่งเพิ่มความดันจนทำให้น้ำมันล้นออกมาได้
      29. ควรเปลี่ยนสายพานราวลิ้นตามระยะเวลาที่แนะนำในคู่มือ
      30. ถอดก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมาเช็ดทำความสะอาดบ้าง

cr.car.kapook
สนใจสั่งซื้อรถมือสองได้ที่
website : www.expatautocm.com
Tel. 053241722
Line@ : @expatautocm (มี@ด้วยนะ)

ข้อมูลแนะนำ